ขั้นตอนการเช่าบ้าน อัปเดตล่าสุด สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ

การเช่าบ้านเป็นกระบวนการที่ควรทำอย่างเป็นระบบเพื่อปกป้องสิทธิทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า เราจะพาไล่ขั้นตอนการเช่าบ้านทีละข้อ ตั้งแต่การค้นหา การตรวจสภาพบ้าน ไปจนถึงการทำสัญญาและการจดทะเบียนที่สำคัญ

1. กำหนดความต้องการและงบประมาณ

ก่อนเริ่มค้นหาบ้านให้ชัดเจนเรื่องทำเล ขนาดบ้าน จำนวนห้อง ระยะเวลาเช่า งบประมาณค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภค รวมถึงเงื่อนไขที่ยอมรับได้ เช่น ยอมให้เลี้ยงสัตว์ได้หรือไม่ ห้ามต่อเติม ตกแต่ง เป็นต้น ข้อกำหนดชัดเจนจะช่วยคัดกรองตัวเลือกและประหยัดเวลา

2. ค้นหาบ้านและตรวจสอบเบื้องต้น

ค้นผ่านเว็บประกาศอสังหาริมทรัพย์ ตัวแทน หรือกลุ่มในโซเชียล จากนั้นนัดดูบ้านจริง โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสภาพบ้านก่อนเช่า (การตรวจสอบ สภาพบ้าน ก่อนเช่า) ดังนี้:

  • เช็ครอยรั่ว รอยร้าว ความชื้น และระบบไฟฟ้า-สุขาภิบาล
  • ทดสอบน้ำ ไฟ และอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีให้ (เช่น แอร์ ประปา เตา)
  • ตรวจรายการเฟอร์นิเจอร์และของแถมที่ตกลงกันไว้
  • ถ่ายรูปหรือวิดีโอเป็นหลักฐานสภาพก่อนย้ายเข้า

3. ตรวจสอบข้อมูลเจ้าของบ้านและสถานะสิทธิ์

ขอสำเนาบัตรประชาชนของผู้ให้เช่า หรือสำเนาทะเบียนบ้าน/หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์จากกรมที่ดิน เพื่อยืนยันว่าเจ้าของสิทธิ์มีอำนาจให้เช่า หากไม่มั่นใจควรขอดูหนังสือมอบอำนาจหรือหลักฐานตัวแทนขาย

4. เจรจาเงื่อนไขและข้อตกลงสำคัญ

ก่อนทำสัญญาควรตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรในประเด็นหลัก ได้แก่:

  • ระยะเวลาเช่า และวิธีการต่อสัญญา
  • ค่าเช่าเดือนละเท่าไร จ่ายล่วงหน้าอย่างไร (เดือน/ไตรมาส) และวิธีปรับขึ้นราคา
  • จำนวนมัดจำและเงื่อนไขการคืนมัดจำ
  • ค่าใช้จ่ายค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ และภาระการซ่อมบำรุง
  • การอนุญาตให้ซ่อมแซมหรือต่อเติม และการปล่อยเช่าช่วง (subletting)
  • วิธีการยุติสัญญา กรณีผิดสัญญา และการระงับข้อพิพาท

5. การทำสัญญาเช่า (การทำสัญญาเช่า)

สัญญาเช่าควรเป็นลายลักษณ์อักษรและระบุรายละเอียดครบถ้วน พร้อมลงชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่า รวมถึงพยานหรือลายมือชื่อพยาน หากมีเอกสารแนบ เช่น รายการเฟอร์นิเจอร์ ควรแนบเป็นเอกสารประกอบและแนบรูปถ่ายสภาพปัจจุบันไว้ด้วย

ตามคำแนะนำจากคุณ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การร่างสัญญาควรชัดเจนในเรื่องภาระผูกพันของแต่ละฝ่าย เงื่อนไขการบอกเลิก และมาตรการป้องกันปัญหา เช่น ระบุเวลาซ่อมบำรุง และขั้นตอนเมื่อมีความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างสัญญา เพื่อป้องกันการตีความที่ต่างกันในอนาคต

6. ภาษี ค่าธรรมเนียม และการจดทะเบียน

ในกรณีสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีระยะเวลาเกิน 3 ปี ควรพิจารณาการจดทะเบียนสัญญาที่สำนักงานที่ดินเพื่อให้มีผลทางกฎหมายต่อบุคคลภายนอก นอกจากนี้ควรสอบถามเรื่องภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาเช่า (เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน) หรือขอคำปรึกษาจากนักบัญชี/ทนายเมื่อจำเป็น

7. การจ่ายเงินและคืนมัดจำ

เก็บหลักฐานการชำระเงินทุกครั้ง เช่น ใบเสร็จหรือสลิปโอนเงิน ระบุว่าเป็นค่าอะไรและของเดือนใด สำหรับมัดจำควรกำหนดเงื่อนไขการคืน เช่น ตรวจสอบสภาพบ้านก่อนคืนกุญแจ และระบุระยะเวลาคืนเงินมัดจำหลังจากตรวจสภาพเรียบร้อย

8. ระหว่างการเช่า: การซ่อมบำรุงและการสื่อสาร

กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบในการซ่อมบำรุงให้ชัดเจน (งานที่เกิดจากการใช้งานปกติ vs. ความเสียหายที่เกิดจากผู้เช่า) จัดช่องทางการสื่อสารฉุกเฉินและเก็บหลักฐานการแจ้งซ่อม หากมีข้อพิพาท ให้ทบทวนสัญญาและพยายามเจรจา หากไม่สามารถตกลงกันได้ อาจต้องพึ่งกระบวนการยุติข้อพิพาทตามที่ระบุในสัญญา

คำถามที่พบบ่อย: เช่าบ้าน ต้องทำสัญญาไหม

สั้นๆ คือ ควรทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ แม้ว่าทางกฎหมายจะรับรองสัญญาเช่าแบบปากเปล่า แต่การมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจะช่วยลดความเสี่ยงจากข้อพิพาทและเป็นหลักฐานที่ชัดเจนเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะเรื่องมัดจำ การคืนบ้าน และความรับผิดชอบในการซ่อมแซม

คำแนะนำทางกฎหมายเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าบ้าน

หากต้องการความมั่นใจด้านกฎหมาย ให้พิจารณาข้อแนะนำดังนี้:

  • ให้ทนายหรือนักกฎหมายตรวจร่างสัญญา โดยเฉพาะในสัญญาระยะยาวหรือมีเงื่อนไขซับซ้อน
  • บันทึกสภาพบ้านโดยละเอียดและเก็บสำเนาสัญญาและหลักฐานการชำระเงินทั้งหมด
  • ระบุวิธีการระงับข้อพิพาท เช่น การเจรจา ไกล่เกลี่ย หรือการใช้ศาล และสถานที่บังคับใช้กฎหมาย

เช็คลิสต์สั้นก่อนเซ็นสัญญา

  • ทราบเจ้าของที่แท้จริงและขอดูหลักฐานสิทธิ์
  • สภาพบ้านเป็นไปตามที่ตกลงหรือไม่ (มีหลักฐานภาพถ่าย)
  • รายละเอียดค่าใช้จ่ายและวิธีการชำระเขียนชัดเจน
  • รู้เงื่อนไขการยกเลิกสัญญาและการคืนมัดจำ
  • พิจารณาการจดทะเบียนสัญญาหากเช่าระยะยาว

การเช่าบ้านที่ปลอดภัยเริ่มจากการเตรียมตัวและการวางสัญญาที่รัดกุม โดยอาศัยการตรวจสภาพบ้านอย่างละเอียด การเจรจาข้อตกลงที่ชัดเจน และการขอคำแนะนำทางกฎหมายเมื่อจำเป็น จะช่วยให้ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่าเข้าใจขอบเขตหน้าที่ของตนและลดความเสี่ยงของข้อพิพาทในอนาคต